📢เปิดรับสมัคร!! สำหรับ นิติแพทย์ชั้นปีที่ 1 หรือ 2 ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อปูพื้นฐาน เพิ่มเกรดและเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบใบประกอบโรคศิลป์ หรือใบประกอบแพทย์

📝รายละเอียดวิชามีดังนี้

1. Anatomy และ Gross Anatomy

2. Biology and Medical Sciences

3. Biochemistry and Molecular Biology

4. Physiology 

5. Pharmacology

6. Pathology

7. Neuroanatomy and Embryology

8. Microbiology and Immunology

 

สอนสดตัวต่อตัวโดยอาจารย์แพทย์เฉพาะทางประจำภาควิชาในแต่ละภาควิชาผู้จบหลักสูตรการสอน pre-medical education หรือ Medical Education เท่านั้น

คอร์สติวใช้เวลาเรียนเริ่มต้น 30 ชั่วโมง (เป็นการเรียนสดกับอาจารย์หมอตัวต่อตัว)

สำหรับนักศึกษาแพทย์ทุกสถาบันในชั้นปีที่ 1 และ 2 ทั้งในประเทศไทยและหลักสูตรต่างประเทศ

โดยอาจารย์หมอเป็นผู้วางแผนการเรียนทั้งหมด

สำหรับนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 1 และ 2 ที่ต้องการเกรด A หรือ B+ ขึ้นไป

เป็นการติวเพื่อปูพื้นฐานสำหรับเข้าชั้น Clinic และสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม( NL)

โดยการสอบจะจัดสอบ NL-1 ,  NL-2 และ NL-3 โดยแพทย์สภา สอบ 2 รอบต่อปี ติดตามข้อมูลการสอบใบประกอบแพทย์ได้ที่ https://cmathai.org

  • การติวสอบเพื่อประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน จำนวน 300 ข้อ (NL-1) 
  • การติวสอบเพื่อประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก จำนวน 300 ข้อ (NL-2)
  • การติวสอบเพื่อประเมินทักษะ และหัตถการทางคลินิก ประกอบด้วย OSCE MEQ Longcase (NL-3)

การสมัครสอบใบประกอบแพทย์(ศรว)

ผู้มีความประสงค์จะขอรับการประเมินต้องดำเนินการต่อไปนี้

  1. ยื่นใบสมัครต่อศูนย์ประเมิน และรับรองความรู้ ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ศูนย์ฯ จะประกาศในแต่ละปี
  2. ชำระค่าสมัครสอบตามอัตราที่กำหนดในประกาศของศูนย์ฯ ซึ่งศูนย์ฯ จะไม่คืนเงินค่าสมัครให้ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัคร

ผู้มีสิทธิ์ขอรับการประเมินจะต้องมีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้สำหรับการเป็นสมาชิกแพทยสภา และคุณสมบัติอื่นดังนี้

  1. ประเภทที่หนึ่ง เป็นผู้ที่กำลังศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตในสถาบันการศึกษาในประเทศไทย หรือในต่างประเทศที่แพทยสภารับรอง
  2. ประเภทที่สอง เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และได้รับปริญญาบัตรจากสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่แพทยสภารับรอง
  3. ประเภทที่สาม เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และได้รับปริญญาบัตรจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศที่แพทยสภารับรอง

คุณสมบัติเฉพาะสำหรับการสอบแต่ละขั้นตอน

  1. การสอบขั้นตอนที่หนึ่ง เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่ง หรือสอง หรือสาม สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทหนึ่งต้องมีใบรับรองจากสถานศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ระดับปรีคลินิก) หรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา นับถึงวันที่กำหนดสอบฯ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับปรีคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
  2. การสอบขั้นตอนที่สอง เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่ง หรือสอง หรือสาม สำหรับผู้มีคุณสมบัติประเภทหนึ่งต้องมีใบรับรองจากสถานการศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ระดับคลินิก) มาแล้วไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา นับถึงวันที่กำหนดสอบฯ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
  3. การสอบขั้นตอนที่สาม เป็นผู้ที่สอบผ่านขั้นตอนที่หนึ่ง และขั้นตอนที่สองแล้ว โดยแต่ละขั้นตอนสอบผ่านมาแล้วเป็นเวลาไม่เกินเจ็ดปี นับจากวันที่แพทยสภาอนุมัติผลการสอบจนถึงวันที่ยื่นใบสมัครสอบ ถ้าขั้นตอนใดสอบผ่านเกินเจ็ดปีจะต้องสอบขั้นตอนนั้นใหม่ให้ผ่านก่อน

สำหรับผู้มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่งที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในประเทศไทยต้องมีใบรับรองจากสถานการศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (ระดับคลินิก) มาแล้ว ไม่น้อยกว่าห้าภาคการศึกษาระบบทวิภาคหรือเทียบเท่าด้วย นับถึงวันกำหนดสอบ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่สามจะต้องได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในต่างประเทศซึ่งแพทยสภารับรองใบอนุญาตนั้น หากเป็นผู้มีสัญชาติไทยไม่จำเป็นต้องมีในอนุญาตดังกล่าว แต่ต้องมีเอกสารรับรองการปฏิบัติงานหลังปริญญาในฐานะแพทย์ฝึกหัด หรือเทียบเท่าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีในสถาบันการแพทย์ต่างประเทศ หรือในประเทศไทยที่แพทยสภารับรองโดยการปฏิบัติงานจะต้องเสร็จสิ้นก่อนสมัครสอบ
เอกสารที่ใช้ในการสมัคร : www.cmathai.org

นิสิตแพทย์ที่ไม่ผ่านการสอบในคณะเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งเรื่อง ความเครียด, การบริหารจัดการเวลา, และ วิธีการเรียนรู้ ที่ไม่เหมาะสม ปัจจัยหลักที่ทำให้นิสิตสอบไม่ผ่าน

* ความเครียดและแรงกดดันสูง 😥
* การเรียนแพทย์เต็มไปด้วยเนื้อหาที่หนักหน่วงและปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสมาธิและประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือและการทำข้อสอบได้
* แรงกดดันจากครอบครัว, ความคาดหวังส่วนตัว, และการแข่งขันกับเพื่อนร่วมชั้นก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเครียด
* การบริหารจัดการเวลาไม่ดีพอ ⏰
* เนื้อหาวิชาที่ต้องเรียนมีมาก และมักจะมีการสอบย่อยบ่อยครั้ง ทำให้นิสิตต้องจัดตารางเวลาอย่างเข้มงวด
* นิสิตหลายคนอาจใช้เวลาไปกับกิจกรรมอื่น ๆ หรือบริหารเวลาอ่านหนังสือไม่เหมาะสม ทำให้ไม่มีเวลาทบทวนเนื้อหาได้ครบถ้วน
* การทำกิจกรรมเสริม เช่น การออกค่าย หรือการทำกิจกรรมในชมรมต่าง ๆ ก็อาจส่งผลกระทบต่อเวลาเรียนได้ หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี
* ขาดทักษะการเรียนรู้ที่เหมาะสม 🧠
* การเรียนแพทย์ไม่ใช่แค่การท่องจำ แต่ต้องอาศัยการทำความเข้าใจเชิงลึก, การเชื่อมโยงความรู้, และการประยุกต์ใช้
* นิสิตบางคนอาจใช้วิธีการเรียนแบบเดิม ๆ ที่เคยได้ผลในระดับมัธยมศึกษา เช่น การท่องจำเนื้อหาเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการสอบในระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสอบที่ต้องใช้การวิเคราะห์และวินิจฉัย
* การอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ฝึกทำโจทย์ หรือไม่ได้ทบทวนเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ
แนวทางการแก้ไขเบื้องต้น
* จัดการความเครียด ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน, การออกกำลังกาย, และการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น การพูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว
* วางแผนการเรียน จัดทำตารางเรียนและตารางอ่านหนังสือที่ชัดเจน โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ และกำหนดเวลาสำหรับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
* ปรับเปลี่ยนวิธีการเรียน เน้นการทำความเข้าใจแทนการท่องจำ และฝึกทำโจทย์หรือกรณีศึกษาเพื่อประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมา

ข้อเสียของการเรียนรายวิชา Anatomy ไม่เข้าใจ มีผลเสียอย่างไรบ้าง ?

การเรียนพิเศษวิชา Anatomy (กายวิภาคศาสตร์) เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในหมู่นักศึกษาแพทย์และนักศึกษาในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพราะวิชานี้เป็นมากกว่าการท่องจำ และเป็นรากฐานสำคัญของการประกอบอาชีพแพทย์ในอนาคต สาเหตุหลักที่ทำให้หลายคนเลือกเรียนพิเศษมีดังนี้

1. Anatomy คือหัวใจของการแพทย์
วิชากายวิภาคศาสตร์คือการศึกษา โครงสร้างและตำแหน่งของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ ตั้งแต่กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นประสาท ไปจนถึงอวัยวะภายใน ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับแพทย์ หากแพทย์ไม่รู้ตำแหน่งของอวัยวะอย่างแม่นยำ ก็ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง หรือทำการรักษา เช่น การฉีดยา การผ่าตัด ได้อย่างปลอดภัย
2. เนื้อหาเยอะและซับซ้อนมาก
วิชากายวิภาคมีรายละเอียดจำนวนมหาศาลที่ต้องจดจำและทำความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นชื่อกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นประสาท หรือหลอดเลือด ซึ่งล้วนมีชื่อเรียกเฉพาะทางที่เป็นภาษาละติน การเรียนในห้องเรียนปกติอาจไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างละเอียด การเรียนพิเศษจึงช่วยให้ได้ทบทวนและทำความเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อนในเชิงลึกยิ่งขึ้น
3. การเรียนในห้องแล็บ (อาจารย์ใหญ่)
การเรียน Anatomy ในมหาวิทยาลัยมักจะมีการเรียนรู้จากร่างอาจารย์ใหญ่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สำคัญมาก การเรียนพิเศษจะช่วยให้สามารถทบทวนเนื้อหาและตรวจสอบโครงสร้างต่าง ๆ บนร่างอาจารย์ใหญ่ได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำ และช่วยให้ทำข้อสอบในห้องปฏิบัติการได้ดีขึ้น
4. เตรียมพร้อมสำหรับการสอบใบประกอบวิชาชีพ
วิชา Anatomy เป็นหนึ่งในวิชาหลักที่ใช้ในการสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม (National License หรือ NL) การเรียนพิเศษตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยปูพื้นฐานให้แน่น ทำให้พร้อมสำหรับการสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นด่านสำคัญที่สุดก่อนจะก้าวเข้าสู่อาชีพแพทย์อย่างเต็มตัว
5. ช่วยเสริมสร้างทักษะและเทคนิคการจำ
เนื่องจากเนื้อหามีปริมาณมาก การเรียนพิเศษจะช่วยให้ได้เรียนรู้เทคนิคการจำที่หลากหลาย รวมถึงการเชื่อมโยงความรู้เข้ากับวิชาอื่น ๆ เช่น สรีรวิทยา (Physiology) หรือพยาธิวิทยา (Pathology) ซึ่งจะทำให้เข้าใจการทำงานของร่างกายในภาพรวมได้ดียิ่งขึ้น
การเรียนพิเศษ Anatomy จึงไม่ใช่แค่การติวเพื่อทำเกรดให้ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อสร้างความเข้าใจที่มั่นคงในฐานความรู้ที่สำคัญที่สุดของการแพทย์ เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

“ทำไม Anatomy ถึงเป็นวิชาที่ต้องเรียนพิเศษ”
นอกเหนือจากเหตุผลที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้วิชา Anatomy มีความสำคัญและหลายคนเลือกที่จะเรียนพิเศษเพิ่ม ดังนี้
1. Anatomy คือภาษาของแพทย์
Anatomy เป็นมากกว่าแค่วิชาหนึ่งในหลักสูตร แต่เป็น “ภาษา” ที่แพทย์ทุกคนต้องใช้ในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน, การอธิบายอาการให้ผู้ป่วย, หรือการทำหัตถการต่าง ๆ การใช้คำศัพท์ทางกายวิภาคที่ถูกต้องแม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเรียนพิเศษช่วยให้เราคุ้นเคยกับคำศัพท์เหล่านี้มากขึ้น และสามารถใช้ได้อย่างถูกต้องในสถานการณ์จริง
2. เป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนวิชาอื่น
วิชา Anatomy เป็นเสมือน “แผนที่” ของร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นฐานความรู้ที่ต้องนำไปต่อยอดในวิชาอื่น ๆ ตลอดหลักสูตรการแพทย์ เช่น
* สรีรวิทยา (Physiology): การจะเข้าใจการทำงานของอวัยวะ (Physiology) ได้ดี ต้องรู้โครงสร้างและตำแหน่งของอวัยวะนั้น ๆ (Anatomy) ก่อน
* พยาธิวิทยา (Pathology): การวินิจฉัยโรคจากการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะ (Pathology) ต้องอาศัยความรู้ Anatomy ที่แม่นยำเพื่อเปรียบเทียบกับภาวะปกติ
* ศัลยกรรม (Surgery): ศัลยแพทย์ทุกคนต้องแม่นยำใน Anatomy อย่างยิ่งยวด เพราะการผ่าตัดคือการทำงานกับโครงสร้างภายในร่างกาย การพลาดแม้แต่มิลลิเมตรเดียวก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
3. เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอาชีพแพทย์จริง
ความรู้ทาง Anatomy ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้องสอบ แต่ต้องนำไปใช้จริงตลอดชีวิตการทำงานของแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทาง การเรียนพิเศษจึงเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นใจและความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานจริงในอนาคต เช่น การฉีดวัคซีน, การเจาะเลือด, การผ่าตัดเล็ก ไปจนถึงการผ่าตัดใหญ่ที่ซับซ้อน
การเรียน Anatomy จึงไม่ใช่แค่การท่องจำชื่ออวัยวะให้ได้ แต่เป็นการทำความเข้าใจ “ภาษา” และ “แผนที่” ของร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นแพทย์ที่เก่งและปลอดภัย การลงทุนเรียนพิเศษจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การเดินทางบนเส้นทางสายนี้มีความมั่นคงและราบรื่นมากขึ้น

“ข้อเสียของการไม่เรียนพิเศษวิชา Anatomy (กายวิภาคศาสตร์)” อาจไม่ได้ปรากฏให้เห็นทันที แต่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องตลอดเส้นทางการศึกษาและการทำงานของแพทย์ในอนาคต ดังนี้
1. เสียเปรียบในการทำความเข้าใจวิชาอื่นๆ
Anatomy เป็นรากฐานของวิชาทางการแพทย์เกือบทั้งหมด การขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้งในวิชานี้จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อวิชาอื่น ๆ ที่ต้องเรียนตามมา เช่น
* สรีรวิทยา (Physiology): หากไม่รู้ตำแหน่งและโครงสร้างของหัวใจ จะไม่เข้าใจการทำงานของการสูบฉีดเลือด
* พยาธิวิทยา (Pathology): การวินิจฉัยโรคต้องอาศัยการเปรียบเทียบจากโครงสร้างปกติ หากไม่แม่น Anatomy ก็อาจวินิจฉัยผิดพลาดได้
* ศัลยกรรม (Surgery): การไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเส้นประสาทหรือหลอดเลือด อาจทำให้เกิดความผิดพลาดระหว่างการผ่าตัด ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
2. ขาดความแม่นยำในการตรวจร่างกาย
การตรวจร่างกายเป็นทักษะพื้นฐานของแพทย์ เช่น การคลำหาตำแหน่งของตับ, ม้าม หรือการฟังเสียงหัวใจ หากไม่มีความเข้าใจ Anatomy ที่ดีพอ อาจไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ถูกต้องของอวัยวะ ทำให้การวินิจฉัยคลาดเคลื่อน และส่งผลต่อการรักษา
3. เตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพได้ยากขึ้น
วิชา Anatomy เป็นเนื้อหาหลักที่ใช้ในการสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม (National License) การไม่ได้เรียนพิเศษอาจทำให้การทบทวนเนื้อหาด้วยตัวเองเป็นไปอย่างไม่มีทิศทาง และอาจพลาดจุดสำคัญที่ข้อสอบมักเน้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการสอบไม่ผ่าน
4. อาจขาดความมั่นใจในการปฏิบัติงานจริง
ความรู้ทาง Anatomy ที่ไม่แน่นพอจะทำให้แพทย์ขาดความมั่นใจเมื่อต้องทำงานจริง โดยเฉพาะเมื่อต้องทำหัตถการหรือผ่าตัด การเรียนพิเศษเป็นเหมือนการฝึกฝนและทบทวนซ้ำ ๆ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจในทักษะที่ต้องนำไปใช้ในชีวิตการทำงานจริง
5. ใช้เวลาในการทบทวนเนื้อหามากขึ้น
แม้ว่าจะไม่เรียนพิเศษ แต่การสอบให้ผ่านก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการอ่านและทบทวนด้วยตัวเอง ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าและไม่มีทิศทางที่ชัดเจนเท่ากับการเรียนกับผู้ที่มีประสบการณ์ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียเวลาที่จะไปทุ่มเทให้กับวิชาอื่นๆ
การตัดสินใจไม่เรียนพิเศษ Anatomy จึงไม่ใช่แค่การประหยัดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการแลกกับความเสี่ยงในหลายด้าน อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างมีวินัยและมีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถทำได้เช่นกัน