นิสิตแพทย์ที่ไม่ผ่านการสอบในคณะเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งเรื่อง ความเครียด, การบริหารจัดการเวลา, และ วิธีการเรียนรู้ ที่ไม่เหมาะสม ปัจจัยหลักที่ทำให้นิสิตสอบไม่ผ่าน

* ความเครียดและแรงกดดันสูง 😥
* การเรียนแพทย์เต็มไปด้วยเนื้อหาที่หนักหน่วงและปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสมาธิและประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือและการทำข้อสอบได้
* แรงกดดันจากครอบครัว, ความคาดหวังส่วนตัว, และการแข่งขันกับเพื่อนร่วมชั้นก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเครียด
* การบริหารจัดการเวลาไม่ดีพอ
* เนื้อหาวิชาที่ต้องเรียนมีมาก และมักจะมีการสอบย่อยบ่อยครั้ง ทำให้นิสิตต้องจัดตารางเวลาอย่างเข้มงวด
* นิสิตหลายคนอาจใช้เวลาไปกับกิจกรรมอื่น ๆ หรือบริหารเวลาอ่านหนังสือไม่เหมาะสม ทำให้ไม่มีเวลาทบทวนเนื้อหาได้ครบถ้วน
* การทำกิจกรรมเสริม เช่น การออกค่าย หรือการทำกิจกรรมในชมรมต่าง ๆ ก็อาจส่งผลกระทบต่อเวลาเรียนได้ หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี
* ขาดทักษะการเรียนรู้ที่เหมาะสม 🧠
* การเรียนแพทย์ไม่ใช่แค่การท่องจำ แต่ต้องอาศัยการทำความเข้าใจเชิงลึก, การเชื่อมโยงความรู้, และการประยุกต์ใช้
* นิสิตบางคนอาจใช้วิธีการเรียนแบบเดิม ๆ ที่เคยได้ผลในระดับมัธยมศึกษา เช่น การท่องจำเนื้อหาเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการสอบในระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสอบที่ต้องใช้การวิเคราะห์และวินิจฉัย
* การอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ฝึกทำโจทย์ หรือไม่ได้ทบทวนเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ
แนวทางการแก้ไขเบื้องต้น
* จัดการความเครียด ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน, การออกกำลังกาย, และการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น การพูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว
* วางแผนการเรียน จัดทำตารางเรียนและตารางอ่านหนังสือที่ชัดเจน โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ และกำหนดเวลาสำหรับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
* ปรับเปลี่ยนวิธีการเรียน เน้นการทำความเข้าใจแทนการท่องจำ และฝึกทำโจทย์หรือกรณีศึกษาเพื่อประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมา

การสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ไม่ผ่าน ถือเป็นเรื่องที่สร้างความท้าทายอย่างมากสำหรับนักศึกษาแพทย์ ซึ่งนอกจากความรู้สึกผิดหวังและเสียใจแล้ว ยังมี "ค่าเสียโอกาส" หลายประการที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

1. ค่าเสียโอกาสทางการเงินและอาชีพ
* ไม่สามารถประกอบอาชีพแพทย์ได้: นี่คือผลกระทบที่สำคัญที่สุด เพราะใบประกอบวิชาชีพแพทย์เป็นใบอนุญาตที่ใช้ในการประกอบอาชีพ การสอบไม่ผ่านทำให้ไม่สามารถทำงานในตำแหน่งแพทย์ได้ ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่คาดหวังได้
* ความล่าช้าในการเข้าสู่ระบบการทำงาน: ผู้ที่สอบไม่ผ่านจะต้องรอสอบใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปี ทำให้แผนการทำงานที่วางไว้ล่าช้าออกไป
* รายได้ที่สูญเสียไป: ในช่วงที่รอสอบใหม่ ผู้ที่สอบไม่ผ่านจะไม่มีรายได้ในฐานะแพทย์ หากต้องการทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองระหว่างรอ ก็อาจต้องทำงานในสายงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพแพทย์ ซึ่งอาจมีรายได้น้อยกว่ามาก
* การสูญเสียโอกาสในการใช้ทุน: ในกรณีที่นักศึกษาแพทย์ทำสัญญาชดใช้ทุนกับภาครัฐ หากสอบไม่ผ่านใบประกอบวิชาชีพ อาจไม่ได้รับการจัดสรรให้ไปปฏิบัติงานชดใช้ทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเป็นนักศึกษาชดใช้ทุน และอาจต้องหาทางแก้ไขปัญหาตามเงื่อนไขของสัญญา
2. ค่าเสียโอกาสทางด้านจิตใจและสังคม
* ความเครียดและสุขภาพจิต: การสอบไม่ผ่านสร้างความเครียดและความวิตกกังวลอย่างสูง ทั้งจากความคาดหวังของตัวเอง ครอบครัว และแรงกดดันจากสังคม บางคนอาจถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้
* ความเชื่อมั่นในตัวเองที่ลดลง: การสอบไม่ผ่านอาจทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่มีความสามารถ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างรุนแรง
* ผลกระทบต่อความสัมพันธ์: ความเครียดและความผิดหวังอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทั้งครอบครัวและเพื่อนฝูง
* การเสียโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง: ในช่วงที่ต้องหยุดพักเพื่อเตรียมตัวสอบใหม่ ผู้ที่สอบไม่ผ่านจะไม่ได้พัฒนาทักษะทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นที่ได้เข้าสู่ระบบการทำงานแล้ว
3. ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
* ค่าใช้จ่ายในการสอบใหม่: การสอบใบประกอบวิชาชีพแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องจ่ายใหม่หากต้องการสอบซ้ำ
* ค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัว: การเตรียมตัวสอบใหม่ อาจต้องลงทุนซื้อหนังสือ, สมัครคอร์สติว หรือหาติวเตอร์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ต้องรับผิดชอบ
สรุป:
การสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ไม่ผ่านไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะจบสิ้น แต่เป็นการเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ต้องใช้ความอดทนและตั้งใจอย่างมาก ค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับและหาทางรับมือ ซึ่งนอกจากจะต้องทบทวนความรู้และเตรียมตัวสอบใหม่ให้ดีขึ้นแล้ว การดูแลสุขภาพจิตและหาที่ปรึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้

ฐานรายได้แพทย์ ปี 2568

เพื่อให้เห็นภาพที่ครบถ้วนมากขึ้น ควรพิจารณารายละเอียดปลีกย่อยของรายได้แพทย์ในแต่ละกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วยเงินหลายส่วน ไม่ใช่แค่เงินเดือนเพียงอย่างเดียว:
1. รายได้แพทย์จบใหม่ (General Practitioner – GP)
* โรงพยาบาลรัฐ: รายได้ของแพทย์จบใหม่ในโรงพยาบาลรัฐจะอยู่ที่ประมาณ 55,000 – 65,000 บาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็นหลายส่วน ดังนี้
* เงินเดือนพื้นฐาน: ประมาณ 18,000 บาท
* เงินเพิ่มพิเศษ (พ.ต.ส.): ประมาณ 5,000 บาท
* เงินไม่ทำเวชปฏิบัติส่วนตัว: ประมาณ 10,000 บาท (เพื่อจูงใจให้แพทย์ทำงานในระบบราชการ ไม่ไปเปิดคลินิกส่วนตัว)
* ค่าเวรและค่าล่วงเวลา (OT): เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รายได้รวมสูงขึ้น โดยอาจได้รับประมาณ 13,000 – 17,000 บาท ขึ้นอยู่กับความขยันและจำนวนเวรที่รับ
* โรงพยาบาลเอกชน: รายได้ของแพทย์ทั่วไปในโรงพยาบาลเอกชนจะสูงกว่ามาก โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการันตีขั้นต่ำและการันตีรายชั่วโมง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80,000 – 140,000 บาทต่อเดือน
2. รายได้แพทย์เฉพาะทาง (Specialist)
* โรงพยาบาลรัฐ: แพทย์เฉพาะทางที่ทำงานในโรงพยาบาลรัฐจะมีรายได้สูงขึ้นจากเงินเดือนพื้นฐานและค่าตอบแทนพิเศษ (เงิน พ.ต.ส. และเงินไม่ทำคลินิก) โดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 70,000 – 100,000 บาทต่อเดือน ซึ่งยังคงต้องอาศัยการทำ OT หรือเวรนอกเวลาเพื่อเพิ่มรายได้
* โรงพยาบาลเอกชน: เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด โดยรายได้จะมาจากส่วนแบ่งค่ารักษาและหัตถการ (DF – Doctor’s Fee) ซึ่งทำให้รายได้สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด ตัวเลขรายได้ที่ได้มานั้นสูงมาก จนบางสาขามีรายได้ถึง หลักล้านบาทต่อเดือน โดยเฉพาะศัลยแพทย์ที่มีการผ่าตัดที่มีราคาแพง ซึ่งตัวเลขที่เห็นนี้ไม่ใช่เงินเดือน แต่เป็นรายได้รวมทั้งหมดที่แพทย์จะได้รับ
สรุปปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้ของแพทย์
* สถานที่ทำงาน: โรงพยาบาลเอกชนให้รายได้ที่สูงกว่าโรงพยาบาลรัฐอย่างเห็นได้ชัด
* ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง: แพทย์เฉพาะทางมีโอกาสสร้างรายได้สูงกว่าแพทย์ทั่วไป
* จำนวนเวรและ OT: การทำงานล่วงเวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ
* สาขาเฉพาะทาง: สาขาที่มีความต้องการสูงและมีหัตถการ (เช่น ศัลยกรรมกระดูก, ศัลยกรรมประสาท, วิสัญญีแพทย์) จะมีรายได้สูงกว่าสาขาอื่น ๆ
* ประสบการณ์: แพทย์ที่มีประสบการณ์มากจะมีรายได้สูงขึ้นตามลำดับ
จะเห็นได้ว่า การเป็นแพทย์ในประเทศไทยมีรายได้ที่สูงเมื่อเทียบกับอาชีพอื่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อสามารถพัฒนาไปเป็นแพทย์เฉพาะทางและทำงานในโรงพยาบาลเอกชนได้ ซึ่งต้องแลกมากับความรับผิดชอบที่สูงและชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเช่นกัน

👨‍⚕️👩‍⚕️เปิดรับสมัคร!! รอบติวสดใบประกอบแพทย์ NL-1 NL-2 MEQ และ OSSE สอบรอบ 2/2568 เหลือ 3 ที่สุดท้ายเท่านั้น

**เริ่มเรียน 15 กันยายน หากนิสิตแพทย์เคยสอบมาแล้ว สามารถนำผลคะแนนมายื่น เพื่อให้ทีมอาจารย์หมอประเมินจำนวนชม. ได้เลยค่ะ 😊😊2568 (ลงทะเบียนภายใน 12 กันยายน 2568) Add Line Click!

Update เนื้อหา NL-1 เดือน เมษายน 68 (จองตารางเรียน คลิ๊กที่นี่ )

ตารางเรียน Course NL-1 NL-2 MEQ และ OSCE ติวสอบใบประกอบแพทย์ ปี 2568

ติวสอบใบประกอบแพทย์ nl1 nl2 nl3 nl-1 nl-2 nl-3 meq osce ศรว

(👩‍⚕️สอนสดตัวต่อตัวผ่าน Zoom โดยอาจารย์แพทย์เฉพาะทางเฉพาะบทผู้จบหลักสูตรการสอนนิสิตแพทย์เฉพาะทาง Medical Education Certificate) percentile 99 ของปรเทศ

❌รอบ พฤษภาคม 68 เต็ม
❌รอบ มิถุนายน 68 เต็ม
รอบ กันยายน 68 ว่าง 1 ที่
รอบ ตุลาคม 65 ว่าง 2 ที่ (ลงสอบปี69)

ตัวอย่าง ข้อสอบ NL-1 รอบ เมษายน 2568

Question : 35 year old woman diagnosed with RAhas been taking high dose prednisone for 6 months then stopped without tapering dose. Which lab finding most likely?

A.High cortisol

B.hyperkalemia

C.high ACTH

D.hyperglycemia

ตัวอย่าง Slide การสอน MEQ โดยอาจารย์แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ER Specialist

ติวสอบใบประกอบแพทย์ MEQ NL-1 NL-2

ติวสอบใบประกอบแพทย์ NL-1 NL-2 MEQ และ OSCE

ประกอบด้วย NL-1-2 MEQ และ OSCE Course Planning เนื่องจากเป็นการสอบเฉพาะของแพทย์สภาซึ่งแตกต่างจากเนื้อหาชั้น pre-clinic และชั้น clinic ที่มหาวิทยาลัยออกคอร์สติวจึงสำคัญ

1. คอร์ส NL-1-2 30 ชั่วโมง ติวตะลุยโจทย์โดยเฉพาะไม่สอนเนื้อหา

2. คอร์ส NL-1-2 50 ชั่วโมง ติวตะลุยโจทย์และเนื้อหาบางบท เลือกได้ 5 บท 

3.คอร์ส NL-1-2 70 ชั่วโมง ติวเนื้อหาครบทุกบทและตะลุยโจทย์ครบทุกบท

4.คอร์ส MEQ 40 ชั่วโมง ติวเนื้อหา การเขียน Diagnostic และ Advice ผู้ป่วย อธิบายการเกิดโรค แผนการรักษา และให้ทางเลือกคนไข้ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยา  Life style modification อาการที่ต้องรีบมารพก่อนนัด และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การพยากรณ์โรค sympathy และการให้กำลังใจ 

5.คอร์ส OSCE 10-15 ชั่วโมง ของการฝึกปฏิบัติแบบตัวต่อตัว
จำลองสถานการณ์จริง พร้อมคำแนะนำจากโค้ชผู้เชี่ยวชาญ
พัฒนาทักษะสื่อสาร การจัดการเวลา และการแก้ปัญหาในสนามสอบ

สำหรับนักศึกษาแพทย์ทุกสถาบันและทุกชั้นปีทั้งในประเทศไทยและหลักสูตรต่างประเทศ

โดยอาจารย์แพทย์ผู้มีเปอร์เซ็นไทล์ 98 ของประเทศ

สัดส่วนคะแนนในการที่จะสอบผ่าน NL-1 ต้องได้มากกว่า 159/300 ขึ้นไป

เป็นการติวในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมซึ่งการสอบประกอบด้วย 3 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนมีจุดประสงค์ดังนี้ (สอบใบประกอบแพทย์/NL-1)

โดยการสอบจะจัดสอบ NL-1 ,  NL-2 และ NL-3 โดยแพทย์สภา สอบ 2 รอบต่อปี ติดตามข้อมูลการสอบใบประกอบแพทย์ได้ที่ https://cmathai.org

  • การติวสอบเพื่อประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน จำนวน 300 ข้อ (NL-1) 
  • การติวสอบเพื่อประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก จำนวน 300 ข้อ (NL-2)
  • การติวสอบเพื่อประเมินทักษะ และหัตถการทางคลินิก ประกอบด้วย OSCE MEQ Longcase (NL-3)
 

ตัวอย่างผลงานความสำเร็จเราสอนนิสิตแพทย์สอบผ่านมากกว่า 10 ปี

ติวสอบใบประกอบแพทย์ nl1 nl2 meq osce 2567-2

ติวสอบใบประกอบแพทย์ nl1 nl2 meq osce 2567-2

ติวสอบใบประกอบแพทย์ nl1 nl2 meq osce 2568-1

สำหรับผู้ที่กำลังศึกษา/สำเร็จการศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตในสถาบันการศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศ ที่แพทยสภารับรอง

 
 

การสมัครสอบใบประกอบแพทย์(ศรว)

ผู้มีความประสงค์จะขอรับการประเมินต้องดำเนินการต่อไปนี้

  1. ยื่นใบสมัครต่อศูนย์ประเมิน และรับรองความรู้ ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ศูนย์ฯ จะประกาศในแต่ละปี
  2. ชำระค่าสมัครสอบตามอัตราที่กำหนดในประกาศของศูนย์ฯ ซึ่งศูนย์ฯ จะไม่คืนเงินค่าสมัครให้ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

.

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัคร

ผู้มีสิทธิ์ขอรับการประเมินจะต้องมีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้สำหรับการเป็นสมาชิกแพทยสภา และคุณสมบัติอื่นดังนี้

  1. ประเภทที่หนึ่ง เป็นผู้ที่กำลังศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตในสถาบันการศึกษาในประเทศไทย หรือในต่างประเทศที่แพทยสภารับรอง
  2. ประเภทที่สอง เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และได้รับปริญญาบัตรจากสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่แพทยสภารับรอง
  3. ประเภทที่สาม เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และได้รับปริญญาบัตรจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศที่แพทยสภารับรอง

คุณสมบัติเฉพาะสำหรับการสอบแต่ละขั้นตอน

  1. การสอบขั้นตอนที่หนึ่ง เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่ง หรือสอง หรือสาม สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทหนึ่งต้องมีใบรับรองจากสถานศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ระดับปรีคลินิก) หรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา นับถึงวันที่กำหนดสอบฯ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับปรีคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
  2. การสอบขั้นตอนที่สอง เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่ง หรือสอง หรือสาม สำหรับผู้มีคุณสมบัติประเภทหนึ่งต้องมีใบรับรองจากสถานการศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ระดับคลินิก) มาแล้วไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา นับถึงวันที่กำหนดสอบฯ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
  3. การสอบขั้นตอนที่สาม เป็นผู้ที่สอบผ่านขั้นตอนที่หนึ่ง และขั้นตอนที่สองแล้ว โดยแต่ละขั้นตอนสอบผ่านมาแล้วเป็นเวลาไม่เกินเจ็ดปี นับจากวันที่แพทยสภาอนุมัติผลการสอบจนถึงวันที่ยื่นใบสมัครสอบ ถ้าขั้นตอนใดสอบผ่านเกินเจ็ดปีจะต้องสอบขั้นตอนนั้นใหม่ให้ผ่านก่อน

สำหรับผู้มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่งที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในประเทศไทยต้องมีใบรับรองจากสถานการศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (ระดับคลินิก) มาแล้ว ไม่น้อยกว่าห้าภาคการศึกษาระบบทวิภาคหรือเทียบเท่าด้วย นับถึงวันกำหนดสอบ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่สามจะต้องได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในต่างประเทศซึ่งแพทยสภารับรองใบอนุญาตนั้น หากเป็นผู้มีสัญชาติไทยไม่จำเป็นต้องมีในอนุญาตดังกล่าว แต่ต้องมีเอกสารรับรองการปฏิบัติงานหลังปริญญาในฐานะแพทย์ฝึกหัด หรือเทียบเท่าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีในสถาบันการแพทย์ต่างประเทศ หรือในประเทศไทยที่แพทยสภารับรองโดยการปฏิบัติงานจะต้องเสร็จสิ้นก่อนสมัครสอบ
เอกสารที่ใช้ในการสมัคร : www.cmathai.org