5 ประโยชน์สำคัญที่คุณจะได้รับจากการติวสอบ ?

1. 🎯 ได้รับ “กลยุทธ์” ไม่ใช่แค่ “ความรู้”
การติวจะเปลี่ยนวิธีการเตรียมสอบของคุณจากการ ท่องจำ ไปสู่การ ประยุกต์ใช้ คุณจะได้เรียนรู้:
• เทคนิคการทำข้อสอบ: วิธีวิเคราะห์โจทย์ยาวๆ (Vignettes) อย่างรวดเร็ว เพื่อหาจุดสำคัญในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
• การบริหารเวลา: กลยุทธ์การตัดช้อยส์และการทำข้อสอบให้เสร็จทันเวลา ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในห้องสอบจริง
2. 🧠 สรุปเนื้อหา 6 ปีให้ “พร้อมใช้”
คุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการอ่านตำราที่กองสูง การติวจะทำหน้าที่เป็น เครื่องกลั่นกรองความรู้ ให้คุณ:
• เนื้อหาตรงจุด: ได้รับเฉพาะ เนื้อหาที่ออกสอบบ่อยที่สุด และจำเป็นที่สุดสำหรับแต่ละขั้นตอน (NL Step 1, 2, 3)
• เชื่อมโยงความรู้: สอนวิธีการ บูรณาการ ความรู้ข้ามสาขา เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นทักษะที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยจริง
3. 📈 เพิ่มอัตราการสอบผ่านและลดความเสี่ยง
ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดคือการเพิ่มโอกาสในการสอบผ่านสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ:
• ลดความเครียด: การเตรียมตัวอย่างเป็นระบบภายใต้การนำของผู้เชี่ยวชาญช่วยลดความวิตกกังวล และเพิ่มความมั่นใจในการเข้าห้องสอบ
• ประหยัดเวลาและโอกาส: การสอบผ่านในรอบแรกหมายความว่าคุณจะได้เริ่มงานเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะตามกำหนด ไม่เสียเวลาไปหนึ่งปี และได้เริ่มรับรายได้ทันที
4. 🥇 มีที่ปรึกษาและโจทย์คุณภาพสูง
คุณจะได้รับการสนับสนุนที่ไม่สามารถหาได้จากการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว:
• โจทย์เสมือนจริง: ได้ฝึกฝนกับ โจทย์คุณภาพสูง ที่ถูกออกแบบมาให้คล้ายคลึงกับข้อสอบจริงที่สุด
• Feedback และ Coaching: ได้รับการประเมินและคำแนะนำที่ตรงจุด เพื่อแก้ไข จุดอ่อน ของคุณได้ทันท่วงที
5. ✨ เตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตแพทย์จริง (Step 3)
การติวไม่ได้หยุดแค่การสอบข้อเขียน แต่ยังครอบคลุมทักษะสำหรับการปฏิบัติงานจริง:
• ทักษะคลินิก: ฝึกฝนวิธีการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการทำหัตถการอย่างถูกต้อง
• ทัศนคติ: สอนทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) และ ทัศนคติความเป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานร่วมกับผู้ป่วยและทีมงาน
กล่าวโดยย่อ การติวสอบใบประกอบแพทย์คือการ ลงทุนเชิงกลยุทธ์ ที่เปลี่ยนความทุ่มเทตลอด 6 ปีของคุณให้เป็น ความสำเร็จในอาชีพ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงที่สุด

"โปรโมชั่นส่งท้ายปี"

คอร์สสอนสดเรียนเดี่ยว (Private) เลือกเวลาเรียนเองได้

คอร์สยอดนิยม เพิ่มคะแนนสอบผ่านในรอบเดียว เริ่มต้นที่ 30 ชั่วโมง

Anatomy (กายวิภาคศาสตร์) 

“Physiology (สรีรวิทยา) 

“Biochemistry (ชีวเคมี) 

“Pathology (พยาธิวิทยา) 

“Pharmacology (เภสัชวิทยา) 

“NL1 จบคอร์สพร้อมสอบผ่านในครั้งเดียว

NL2 จบคอร์สพร้อมสอบผ่านในครั้งเดียว

NL3 MEQ จบคอร์สพร้อมสอบผ่านในครั้งเดียว

NL3 OSCE จบคอร์สพร้อมสอบผ่านในครั้งเดียว

คอร์สกลุ่ม 2-5 คน (Semi Private) เลือกเวลาเรียนเองได้

Anatomy (กายวิภาคศาสตร์) 29 ชม. ราคา 89,900 บาทจากปกติ 199,900 บาท”

Physiology (สรีรวิทยา) 29 ชม. ราคา 89,900 บาทจากปกติ 199,900 บาท”

Biochemistry (ชีวเคมี) 29 ชม. ราคา 89,900 บาทจากปกติ 199,900 บาท”

Pathology (พยาธิวิทยา) 29 ชม. ราคา 89,900 บาทจากปกติ 199,900บาท”

Pharmacology (เภสัชวิทยา) 29 ชม. ราคา 89,900 บาทจากปกติ 199,900 บาท”

“NL1 29 ชม. ราคา 99,900 บาทจากปกติ 199,900 บาท”

NL2 29 ชม. ราคา 159,900 บาทจากปกติ 219,900 บาท”

NL3 MEQ 29 ชม. ราคา 159,900 บาทจากปกติ 219,900 บาท”

NL3 OSCE 20 ชม. ราคา 69,900 บาทจากปกติ 149,900 บาท”

“รับเพียง 10 คนสุดท้าย” 

🎁 ใช้โค้ด “MEDTEAM” รับของแถมสุดพรีเมียม! (มูลค่าสูง)
ไม่ใช่แค่ความรู้ แต่เราเตรียมพร้อมให้คุณ พร้อมที่สุด ทั้งบุคลิกภาพและความมั่นใจก่อนก้าวสู่เส้นทางแพทย์!
🥇 สิทธิพิเศษเหนือใคร! สำหรับ 2 ท่านแรกที่สมัคร!
เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตคลินิกด้วยบุคลิกภาพที่สมบูรณ์แบบ:
• ฟรี! Botox 100u ของ Xeomin 🇩🇪 (โบท็อกซ์เยอรมันพรีเมียม) พร้อม Gift Voucher โปรแกรมความงาม (มีอายุ 1 เดือน)
🧑‍🤝‍🧑 สิทธิพิเศษสำหรับกลุ่ม 5 คนขึ้นไป
• ฟรี! Private Consultation [Self-Study 2 ชม.] กับอาจารย์แพทย์โดยตรง!
• รับแผนการอ่านส่วนตัว และเทคนิคการบริหารจัดการเวลาที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลจริง
✨ ทำไมต้อง “คอร์สกลุ่ม 30 ชม.” ของเรา?
• เน้น “จุดออกสอบ” 100%: สกัดแก่นเนื้อหา Basic Science (B1-B11) ที่ซับซ้อนให้กลายเป็น Key Concepts ที่ง่ายต่อการจำและนำไปใช้
• ระบบดูแลใกล้ชิด: จำนวนจำกัด 10 ท่าน ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนจะได้รับการซักถามข้อสงสัยและการโค้ชชิ่งที่ทั่วถึง
• ผลลัพธ์คือตัววัด: เราเน้นที่ “เทคนิคการทำข้อสอบ” เพื่อให้คุณทำคะแนนได้สูงสุดในเวลาที่จำกัด
อย่าปล่อยให้ความไม่มั่นใจมาหยุดความฝันของคุณ! ที่นั่งเต็มเมื่อไหร่ คือจบโปรทันที21

ชั้นปีที่ 2 Pre-Clinic (พรีคลินิก) 

ชั้นปีที่ 2 ของคณะแพทย์ถือเป็น “ปีที่หนักที่สุด” ปีหนึ่งในส่วนของ Pre-Clinic (พรีคลินิก) เพราะเป็นจุดที่เนื้อหาด้าน Basic Medical Sciences จะมีความเข้มข้นสูงมากและมีปริมาณมหาศาล ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับวิชาคลินิก (ปี 4-6) และเป็นเนื้อหาหลักที่ใช้ในการสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ขั้นที่ 1 (NL1)
วิชาที่นักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่ยกให้ว่า “ยาก” และ “เนื้อหาเยอะ” ในชั้นปีที่ 2 มีดังนี้ครับ
🔬 วิชาที่เป็น ‘บอส’ ของแพทย์ปี 2 (Basic Medical Sciences)
วิชาเหล่านี้มีความยากเนื่องจากต้องใช้ทั้งความเข้าใจเชิงกลไก (Mechanism) และความสามารถในการจดจำรายละเอียดปลีกย่อยจำนวนมากในเวลาจำกัด
1. Anatomy (กายวิภาคศาสตร์)
เป็นวิชาที่เรียนต่อเนื่องมาจากปี 1 และจะมีความละเอียดซับซ้อนขึ้นมาก
• ความยาก: ไม่ใช่แค่การท่องจำชื่ออวัยวะและโครงสร้างภายนอก แต่ต้องลงลึกถึงความสัมพันธ์ของโครงสร้างภายในร่างกาย, เส้นทางของหลอดเลือด (Vessels), เส้นประสาท (Nerves), และกล้ามเนื้อ (Muscles) ในแต่ละส่วนของร่างกาย (เช่น ระบบประสาท Neuroanatomy ที่ว่ากันว่าเป็น “บอส” ตัวใหญ่ของปี 2)
2. Physiology (สรีรวิทยา)
วิชาที่เรียนรู้ “การทำงาน (Function)” ของระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์
• ความยาก: ต้องเข้าใจ กลไก (Mechanism) การทำงานอย่างละเอียด เช่น การทำงานของเซลล์ ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular System), ระบบหายใจ (Respiratory System), ระบบประสาท (Nervous System) และระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal System) ซึ่งเต็มไปด้วยสมการ, กราฟ, และการปรับสมดุล (Homeostasis) ที่ซับซ้อน การท่องจำอย่างเดียวไม่พอ ต้องเชื่อมโยงความเข้าใจจึงจะทำโจทย์ได้
3. Biochemistry (ชีวเคมี)
วิชาที่ศึกษาปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกาย
• ความยาก: เป็นวิชาที่หลายคนบอกว่า “ยากมาก” เพราะเกี่ยวข้องกับ สูตรโครงสร้างทางเคมี, กระบวนการเมตาบอลิซึม (Metabolism), เอนไซม์, และเส้นทางการเกิดปฏิกิริยา (Pathways) จำนวนมหาศาล เช่น วงจรเครบส์ (Krebs Cycle) หรือการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ (DNA Synthesis) หากพื้นฐานเคมีไม่แน่นจะตามยากมาก
4. Pathology (พยาธิวิทยา)
วิชาที่เริ่มเรียนรู้ “ความผิดปกติ (Abnormalities)” ของร่างกายที่นำไปสู่โรค
• ความยาก: เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง Basic Science กับ Clinical Science (คลินิก) ต้องทำความเข้าใจ กลไกการเกิดโรค (Pathogenesis) และ ลักษณะทางพยาธิสภาพ ในระดับเซลล์และเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เยอะและต้องอาศัยการวิเคราะห์สูงมาก
5. Pharmacology (เภสัชวิทยา)
วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับยา
• ความยาก: ส่วนใหญ่จะเริ่มเรียนในช่วงปี 2 หรือปี 3 ต้องจำ ชื่อยา (200-300 ชื่อ), กลไกการออกฤทธิ์, ผลข้างเคียง, และ การนำไปใช้รักษาโรค ซึ่งต้องอาศัยการจำและการเชื่อมโยงกับวิชาสรีรวิทยาและชีวเคมี
🔑 ความท้าทายหลักในภาพรวมของปี 2
• ปริมาณเนื้อหา (Sheer Volume): คือปัญหาหลักที่สุด เนื้อหาวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานทั้งหมดของปี 1-3 จะมารวมกันอย่างเข้มข้น ทำให้ต้องอ่านในปริมาณที่เยอะและสอบติดต่อกันอย่างโหดร้าย
• การเชื่อมโยง (Integration): วิชาต่างๆ ไม่ได้แยกกันอยู่ แต่ต้องเชื่อมโยงกัน เช่น ต้องใช้ Anatomy (โครงสร้าง) และ Physiology (หน้าที่) มาทำความเข้าใจ Pathology (ความผิดปกติ) และสุดท้ายคือ Pharmacology (การรักษาด้วยยา)
• ความถี่ในการสอบ: หลายสถาบันจัดการเรียนการสอนแบบ Block Course ที่มีสอบทุก 2-3 สัปดาห์ ทำให้ไม่มีเวลาพักและต้อง “Hold” ความรู้หลายบล็อกไว้พร้อมกัน

โดยสรุปแล้ว แพทย์ปี 2 เป็นช่วงเวลาที่ต้อง “ทุ่มเทอย่างหนัก” เพื่อสร้างรากฐานความรู้ให้แน่นที่สุดก่อนขึ้นสู่ชั้นคลินิก

นิสิตแพทย์ที่ไม่ผ่านการสอบในคณะเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งเรื่อง ความเครียด, การบริหารจัดการเวลา, และ วิธีการเรียนรู้ ที่ไม่เหมาะสมปัจจัยหลักที่ทำให้นิสิตสอบไม่ผ่าน

* ความเครียดและแรงกดดันสูง 😥
* การเรียนแพทย์เต็มไปด้วยเนื้อหาที่หนักหน่วงและปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสมาธิและประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือและการทำข้อสอบได้
* แรงกดดันจากครอบครัว, ความคาดหวังส่วนตัว, และการแข่งขันกับเพื่อนร่วมชั้นก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเครียด
* การบริหารจัดการเวลาไม่ดีพอ
* เนื้อหาวิชาที่ต้องเรียนมีมาก และมักจะมีการสอบย่อยบ่อยครั้ง ทำให้นิสิตต้องจัดตารางเวลาอย่างเข้มงวด
* นิสิตหลายคนอาจใช้เวลาไปกับกิจกรรมอื่น ๆ หรือบริหารเวลาอ่านหนังสือไม่เหมาะสม ทำให้ไม่มีเวลาทบทวนเนื้อหาได้ครบถ้วน
* การทำกิจกรรมเสริม เช่น การออกค่าย หรือการทำกิจกรรมในชมรมต่าง ๆ ก็อาจส่งผลกระทบต่อเวลาเรียนได้ หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี
* ขาดทักษะการเรียนรู้ที่เหมาะสม 🧠
* การเรียนแพทย์ไม่ใช่แค่การท่องจำ แต่ต้องอาศัยการทำความเข้าใจเชิงลึก, การเชื่อมโยงความรู้, และการประยุกต์ใช้
* นิสิตบางคนอาจใช้วิธีการเรียนแบบเดิม ๆ ที่เคยได้ผลในระดับมัธยมศึกษา เช่น การท่องจำเนื้อหาเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการสอบในระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสอบที่ต้องใช้การวิเคราะห์และวินิจฉัย
* การอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ฝึกทำโจทย์ หรือไม่ได้ทบทวนเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ
แนวทางการแก้ไขเบื้องต้น
* จัดการความเครียด ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน, การออกกำลังกาย, และการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น การพูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว
* วางแผนการเรียน จัดทำตารางเรียนและตารางอ่านหนังสือที่ชัดเจน โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ และกำหนดเวลาสำหรับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
* ปรับเปลี่ยนวิธีการเรียน เน้นการทำความเข้าใจแทนการท่องจำ และฝึกทำโจทย์หรือกรณีศึกษาเพื่อประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมา

การสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ไม่ผ่าน ถือเป็นเรื่องที่สร้างความท้าทายอย่างมากสำหรับนักศึกษาแพทย์ ซึ่งนอกจากความรู้สึกผิดหวังและเสียใจแล้ว ยังมี "ค่าเสียโอกาส" หลายประการที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

1. ค่าเสียโอกาสทางการเงินและอาชีพ
* ไม่สามารถประกอบอาชีพแพทย์ได้: นี่คือผลกระทบที่สำคัญที่สุด เพราะใบประกอบวิชาชีพแพทย์เป็นใบอนุญาตที่ใช้ในการประกอบอาชีพ การสอบไม่ผ่านทำให้ไม่สามารถทำงานในตำแหน่งแพทย์ได้ ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่คาดหวังได้
* ความล่าช้าในการเข้าสู่ระบบการทำงาน: ผู้ที่สอบไม่ผ่านจะต้องรอสอบใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปี ทำให้แผนการทำงานที่วางไว้ล่าช้าออกไป
* รายได้ที่สูญเสียไป: ในช่วงที่รอสอบใหม่ ผู้ที่สอบไม่ผ่านจะไม่มีรายได้ในฐานะแพทย์ หากต้องการทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองระหว่างรอ ก็อาจต้องทำงานในสายงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพแพทย์ ซึ่งอาจมีรายได้น้อยกว่ามาก
* การสูญเสียโอกาสในการใช้ทุน: ในกรณีที่นักศึกษาแพทย์ทำสัญญาชดใช้ทุนกับภาครัฐ หากสอบไม่ผ่านใบประกอบวิชาชีพ อาจไม่ได้รับการจัดสรรให้ไปปฏิบัติงานชดใช้ทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเป็นนักศึกษาชดใช้ทุน และอาจต้องหาทางแก้ไขปัญหาตามเงื่อนไขของสัญญา
2. ค่าเสียโอกาสทางด้านจิตใจและสังคม
* ความเครียดและสุขภาพจิต: การสอบไม่ผ่านสร้างความเครียดและความวิตกกังวลอย่างสูง ทั้งจากความคาดหวังของตัวเอง ครอบครัว และแรงกดดันจากสังคม บางคนอาจถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้
* ความเชื่อมั่นในตัวเองที่ลดลง: การสอบไม่ผ่านอาจทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่มีความสามารถ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างรุนแรง
* ผลกระทบต่อความสัมพันธ์: ความเครียดและความผิดหวังอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทั้งครอบครัวและเพื่อนฝูง
* การเสียโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง: ในช่วงที่ต้องหยุดพักเพื่อเตรียมตัวสอบใหม่ ผู้ที่สอบไม่ผ่านจะไม่ได้พัฒนาทักษะทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นที่ได้เข้าสู่ระบบการทำงานแล้ว
3. ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
* ค่าใช้จ่ายในการสอบใหม่: การสอบใบประกอบวิชาชีพแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องจ่ายใหม่หากต้องการสอบซ้ำ
* ค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัว: การเตรียมตัวสอบใหม่ อาจต้องลงทุนซื้อหนังสือ, สมัครคอร์สติว หรือหาติวเตอร์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ต้องรับผิดชอบ
สรุป:
การสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ไม่ผ่านไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะจบสิ้น แต่เป็นการเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ต้องใช้ความอดทนและตั้งใจอย่างมาก ค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับและหาทางรับมือ ซึ่งนอกจากจะต้องทบทวนความรู้และเตรียมตัวสอบใหม่ให้ดีขึ้นแล้ว การดูแลสุขภาพจิตและหาที่ปรึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้

👨‍⚕️👩‍⚕️เปิดรับสมัคร!! รอบติวสดใบประกอบแพทย์ NL-1 NL-2 MEQ และ OSSE สอบรอบ 2/2568 เหลือ 3 ที่สุดท้ายเท่านั้น

**เริ่มเรียน 15 กันยายน หากนิสิตแพทย์เคยสอบมาแล้ว สามารถนำผลคะแนนมายื่น เพื่อให้ทีมอาจารย์หมอประเมินจำนวนชม. ได้เลยค่ะ 😊😊2568 (ลงทะเบียนภายใน 12 กันยายน 2568) Add Line Click!

Update เนื้อหา NL-1 เดือน เมษายน 68 (จองตารางเรียน คลิ๊กที่นี่ )

ตารางเรียน Course NL-1 NL-2 MEQ และ OSCE ติวสอบใบประกอบแพทย์ ปี 2568

ติวสอบใบประกอบแพทย์ nl1 nl2 nl3 nl-1 nl-2 nl-3 meq osce ศรว

(👩‍⚕️สอนสดตัวต่อตัวผ่าน Zoom โดยอาจารย์แพทย์เฉพาะทางเฉพาะบทผู้จบหลักสูตรการสอนนิสิตแพทย์เฉพาะทาง Medical Education Certificate) percentile 99 ของปรเทศ

❌รอบ พฤษภาคม 68 เต็ม
❌รอบ มิถุนายน 68 เต็ม
รอบ กันยายน 68 ว่าง 1 ที่
รอบ ตุลาคม 65 ว่าง 2 ที่ (ลงสอบปี69)

ตัวอย่าง ข้อสอบ NL-1 รอบ เมษายน 2568

Question : 35 year old woman diagnosed with RAhas been taking high dose prednisone for 6 months then stopped without tapering dose. Which lab finding most likely?

A.High cortisol

B.hyperkalemia

C.high ACTH

D.hyperglycemia

ตัวอย่าง Slide การสอน MEQ โดยอาจารย์แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ER Specialist

ติวสอบใบประกอบแพทย์ MEQ NL-1 NL-2

ติวสอบใบประกอบแพทย์ NL-1 NL-2 MEQ และ OSCE

ประกอบด้วย NL-1-2 MEQ และ OSCE Course Planning เนื่องจากเป็นการสอบเฉพาะของแพทย์สภาซึ่งแตกต่างจากเนื้อหาชั้น pre-clinic และชั้น clinic ที่มหาวิทยาลัยออกคอร์สติวจึงสำคัญ

1. คอร์ส NL-1-2 30 ชั่วโมง ติวตะลุยโจทย์โดยเฉพาะไม่สอนเนื้อหา

2. คอร์ส NL-1-2 50 ชั่วโมง ติวตะลุยโจทย์และเนื้อหาบางบท เลือกได้ 5 บท 

3.คอร์ส NL-1-2 70 ชั่วโมง ติวเนื้อหาครบทุกบทและตะลุยโจทย์ครบทุกบท

4.คอร์ส MEQ 40 ชั่วโมง ติวเนื้อหา การเขียน Diagnostic และ Advice ผู้ป่วย อธิบายการเกิดโรค แผนการรักษา และให้ทางเลือกคนไข้ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยา  Life style modification อาการที่ต้องรีบมารพก่อนนัด และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การพยากรณ์โรค sympathy และการให้กำลังใจ 

5.คอร์ส OSCE 10-15 ชั่วโมง ของการฝึกปฏิบัติแบบตัวต่อตัว
จำลองสถานการณ์จริง พร้อมคำแนะนำจากโค้ชผู้เชี่ยวชาญ
พัฒนาทักษะสื่อสาร การจัดการเวลา และการแก้ปัญหาในสนามสอบ

สำหรับนักศึกษาแพทย์ทุกสถาบันและทุกชั้นปีทั้งในประเทศไทยและหลักสูตรต่างประเทศ

โดยอาจารย์แพทย์ผู้มีเปอร์เซ็นไทล์ 98 ของประเทศ

สัดส่วนคะแนนในการที่จะสอบผ่าน NL-1 ต้องได้มากกว่า 159/300 ขึ้นไป

เป็นการติวในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมซึ่งการสอบประกอบด้วย 3 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนมีจุดประสงค์ดังนี้ (สอบใบประกอบแพทย์/NL-1)

โดยการสอบจะจัดสอบ NL-1 ,  NL-2 และ NL-3 โดยแพทย์สภา สอบ 2 รอบต่อปี ติดตามข้อมูลการสอบใบประกอบแพทย์ได้ที่ https://cmathai.org

  • การติวสอบเพื่อประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน จำนวน 300 ข้อ (NL-1) 
  • การติวสอบเพื่อประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก จำนวน 300 ข้อ (NL-2)
  • การติวสอบเพื่อประเมินทักษะ และหัตถการทางคลินิก ประกอบด้วย OSCE MEQ Longcase (NL-3)
 

ตัวอย่างผลงานความสำเร็จเราสอนนิสิตแพทย์สอบผ่านมากกว่า 10 ปี

ติวสอบใบประกอบแพทย์ nl1 nl2 meq osce 2567-2

ติวสอบใบประกอบแพทย์ nl1 nl2 meq osce 2567-2

ติวสอบใบประกอบแพทย์ nl1 nl2 meq osce 2568-1

สำหรับผู้ที่กำลังศึกษา/สำเร็จการศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตในสถาบันการศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศ ที่แพทยสภารับรอง

 
 

การสมัครสอบใบประกอบแพทย์(ศรว)

ผู้มีความประสงค์จะขอรับการประเมินต้องดำเนินการต่อไปนี้

  1. ยื่นใบสมัครต่อศูนย์ประเมิน และรับรองความรู้ ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ศูนย์ฯ จะประกาศในแต่ละปี
  2. ชำระค่าสมัครสอบตามอัตราที่กำหนดในประกาศของศูนย์ฯ ซึ่งศูนย์ฯ จะไม่คืนเงินค่าสมัครให้ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

.

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัคร

ผู้มีสิทธิ์ขอรับการประเมินจะต้องมีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้สำหรับการเป็นสมาชิกแพทยสภา และคุณสมบัติอื่นดังนี้

  1. ประเภทที่หนึ่ง เป็นผู้ที่กำลังศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตในสถาบันการศึกษาในประเทศไทย หรือในต่างประเทศที่แพทยสภารับรอง
  2. ประเภทที่สอง เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และได้รับปริญญาบัตรจากสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่แพทยสภารับรอง
  3. ประเภทที่สาม เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และได้รับปริญญาบัตรจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศที่แพทยสภารับรอง

คุณสมบัติเฉพาะสำหรับการสอบแต่ละขั้นตอน

  1. การสอบขั้นตอนที่หนึ่ง เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่ง หรือสอง หรือสาม สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทหนึ่งต้องมีใบรับรองจากสถานศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ระดับปรีคลินิก) หรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา นับถึงวันที่กำหนดสอบฯ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับปรีคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
  2. การสอบขั้นตอนที่สอง เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่ง หรือสอง หรือสาม สำหรับผู้มีคุณสมบัติประเภทหนึ่งต้องมีใบรับรองจากสถานการศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ระดับคลินิก) มาแล้วไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา นับถึงวันที่กำหนดสอบฯ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
  3. การสอบขั้นตอนที่สาม เป็นผู้ที่สอบผ่านขั้นตอนที่หนึ่ง และขั้นตอนที่สองแล้ว โดยแต่ละขั้นตอนสอบผ่านมาแล้วเป็นเวลาไม่เกินเจ็ดปี นับจากวันที่แพทยสภาอนุมัติผลการสอบจนถึงวันที่ยื่นใบสมัครสอบ ถ้าขั้นตอนใดสอบผ่านเกินเจ็ดปีจะต้องสอบขั้นตอนนั้นใหม่ให้ผ่านก่อน

สำหรับผู้มีคุณสมบัติประเภทที่หนึ่งที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในประเทศไทยต้องมีใบรับรองจากสถานการศึกษาว่าได้ศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (ระดับคลินิก) มาแล้ว ไม่น้อยกว่าห้าภาคการศึกษาระบบทวิภาคหรือเทียบเท่าด้วย นับถึงวันกำหนดสอบ โดยได้ศึกษาครบทุกรายวิชาตามหลักสูตรระดับคลินิกของสถาบันที่แพทยสภารับรอง
สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติประเภทที่สามจะต้องได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในต่างประเทศซึ่งแพทยสภารับรองใบอนุญาตนั้น หากเป็นผู้มีสัญชาติไทยไม่จำเป็นต้องมีในอนุญาตดังกล่าว แต่ต้องมีเอกสารรับรองการปฏิบัติงานหลังปริญญาในฐานะแพทย์ฝึกหัด หรือเทียบเท่าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีในสถาบันการแพทย์ต่างประเทศ หรือในประเทศไทยที่แพทยสภารับรองโดยการปฏิบัติงานจะต้องเสร็จสิ้นก่อนสมัครสอบ
เอกสารที่ใช้ในการสมัคร : www.cmathai.org